10 วิธีรับมือ กับปัญหาจากการทำธุรกิจส่วนตัว
สําหรับคนที่คิดจะทำธุรกิจ หรือปัจจุบันมีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
อาจต้องเผื่อใจไว้เลยว่า คุณต้องรับมือกับสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น บางปัญหาก็ทำให้คุณแทบตั้งตัวไม่ทัน ขณะที่อีกหลายปัญหาจัดว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้คุณรู้สึกเครียด นอนไม่หลับไปหลายวันทีเดียว อย่าเพิ่งเกิดความรู้สึกท้อแท้กับการทำธุรกิจส่วนตัว เพราะมีข้อดีอยู่หลายอย่างเหมือ
นกัน เช่น ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง มีความสบายใจ
ในการทำ
งานมากกว่า หากธุรกิจไปได้สวย การขยายสาขาจะเกิดขึ้นตามมา สิ่งนี้ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตของคุณ
ส่วนข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจมีตั้งหลายอย่าง นับจากเรื่องข้อผิดพลาดเล็ก
ๆ น้อยๆ ไปจนถึงข้อผิดพลาดใหญ่ สำหรับข้อผิดพลาดจากการ
ทำงานนั้น อาจเกิดจากขาดข้อมูลที่ถูกต้องจากการลงทุนทำธุรกิจในมุมมองทางธุรกิจ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความผิดหวังได้
หากว่าคุณต้องการจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจครั้งที่ผ่านมา ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม หลากหลายคำถามที่อยู่ในใจของผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้นมักครอบคลุมในเรื่อง ที่ว่า จะทำอย่างไรดีกับเม็ด
เงินใน การลงทุนทำธุรกิจของคุณ เช่นเดียวกัน หากในกลุ่มที่ทำธุรกิจของคุณมีเพื่อนสนิทร่วมลงทุนด้วย คุณยิ่งเกิดความรู้สึกกังวลเพิ่มขึ้นว่าเพื่อนจะตำหนิคุณหรือไม่ เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการลงทุนทำธุรกิจ
และต่อไปนี้เป็นวิธีการรับมือกับปัญหาอันเกิดจากการทำธุรกิจส่วนตัวของคุณ
1.วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการทำความเข้าใจธุรกิจของคุณให้กระจ่าง
มองว่าการแก้ปัญหาเป็นเหมือนสิ่งน่าท้าทายใหม่ๆ ทำให้ คุณได้เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่น หากคุณ คิดจะเปิดธุรกิจร้านกาแฟ หรือเปิดธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ธุรกิจสปา ให้คุณพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของธุรกิจนั้น โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ซึ่งประกอบกันไป เช่น การลงทุนในระยะยาว ปัจจัยเรื่องของสภาพ
ตลาดใน ขณะนั้นว่าจะเอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหนกัน
2.ข้อมูลการทำธุรกิจต้องมีความสมบูรณ์
ข้อมูลเป็น “ตัวช่วย” ในการทำธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับตัวเลขของผู้บริโภค ยอดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมไปถึงดัชนีชี้วัดการเติบโตทางด้านธุรกิจ ข้อมูลเหล่านี้มีส่วนต่อการตัดสินใจทำธุรกิจ รวมไปถึงการ คาดการณ์เกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาภายหลังการ ลงทุนทำธุรกิจนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคิดจะเปิดร้าน
ขายเฟอร์นิเจอร์เก่า คุณก็ต้องหาข้อมูลให้รอบด้าน ศึกษาดูว่าในขณะนี้มีร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่าเกิดขึ้นในเมือง
ไทยมากน้อยขนาดไหน กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมกับศึกษาดู ด้วยว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นใคร
ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ศึกษาดูภาพรวมของการทำธุรกิจนี้ใน ต่างประเทศด้วย พูดได้ว่าไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม หากมีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำธุรกิจประเภทที่คุณสนใจอย่างละเอียด จะช่วยทำให้คุณอุ่นใจราวกับว่าการทำธุรกิจของคุณใกล้เป็นจริงแล้วในอนาคตอัน ใกล้นี้
3.เป็นนักฟังที่ดี
ประเด็นนี้หมายความว่า คุณจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทุนของคุณด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากเปิดกิจการร้านขายเสื้อผ้า และมีกลุ่มเพื่อนมาร่วมหุ้นด้วย เมื่อทำไปสักพักหนึ่งก็ปรากฏว่าเสื้อผ้ารูปแบบเดิมที่คุณจำหน่ายอยู่นั้น ประสบกับปัญหาจำหน่ายยาก ทำให้
รายได้จากการจำหน่ายเสื้อผ้าก็น้อยลง ด้วยเหตุนี้เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งจึงเสนอแนวคิดว่าให้ลองเปลี่ยน รูปแบบของ
สินค้าเสีย ใหม่ โดยนำเสนอเสื้อผ้าที่มีเทรนด์ล้ำสมัย และมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายวัยมากยิ่งขึ้น น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ลูกค้าเข้าร้านเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น คุณในฐานะหนึ่งใน หุ้นส่วนทางธุรกิจควรจะรับฟังเรื่องนี้จากเพื่อนด้วย จากนั้นก็ระดมความคิดกันในกลุ่มเพื่อนๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลาย เพื่อดำเนินการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยน แปลงเรื่อง “ตัวสินค้า” โดยทั่วไป
4.ยังคงมีมุมมองในเชิงบวก
ปรับแนวคิดเสียใหม่ อย่ามัวแต่ตอกย้ำกับแนวคิดที่ว่า ช่วงนี้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะขาลง ทำให้ร้าน
อาหารที่ คุณดำเนินกิจการอยู่มีลูกค้าเข้าร้านเป็นจำนวนน้อย อย่าเพิ่งคิดแบบนี้ แต่ให้คุณใช้มุมมองที่ว่า “ปรับวิกฤตให้เป็นโอกาส” โดยเฉพาะเมื่อคุณตัดสินใจมาทำธุรกิจร้านอาหารแล้วก็ต้องเปิด ความคิดของตัวเอง ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารของคุณอยู่รอดได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณรับรู้ว่าร้านอาหารของคุณตั้งอยู่บริเวณสถานที่ไหน กลุ่มลูกค้าที่มาเข้าร้านเป็นอย่างไรบ้าง อีกวิธีหนึ่งที่น่าจะช่วยได้มากก็คือ การปรับเปลี่ยนเมนูในร้านอาหารเสียใหม่ เช่น แต่เดิมมีแต่เมนูอาหารไทย ก็อาจจะปรับเมนูอาหารฝรั่งขึ้นมา เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มาใช้บริการภายในร้านของคุณ แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง แต่ถ้าหากคุณมีมุมมองในแง่บวก พยายามหาช่องทางปรับเปลี่ยนแง่มุมใหม่ คุณจะค้นพบแนวทางที่ถูกต้องในวิธีการบริหารธุรกิจของคุณ
5.บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น
ข้อดีของการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้คุณรับรู้ความเคลื่อนไหวในการทำธุรกิจแต่ละวัน สำหรับการทำธุรกิจ ร้านอาหารนั้น ให้คุณทำการ “บันทึก” ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เช่น การบันทึกว่าในแต่ละวันเมนูประเภทใดที่ลูกค้านิยมสั่งกันเป็นจำนวนมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ของร้านต่อไป