โปรโมทเว็บไซต์คุณกับแอดยิ้มวันนี้ กระจายโฆษณาของคุณ สู่เว็บไซต์คุณภาพ

บทความล่าสุด

บัตรเครดิต สินเชื่อ ภาษี ธุรกิจ การลงทุน หุ้น ทองคำ การเงิน บัญชี

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

QE2 นโยบายผลิต แบงค์กงเต๊ก ที่คุณควรรู้

"QE2" ตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากลึกๆแล้ว หัวใจของนโยบายนี้ก็คือ "การเปลี่ยนเงินดอลล่าห์ให้เป็นแบงค์กงเต๊กนั่นเอง!!" (อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า เงินดอลล่าห์จะไร้ค่า "ไม่ใช่" มันคงไม่ถึงขั้นไร้ค่า แต่มันจะลดมูลค่าลงมากนั่นเอง)

ผมนั่งคุยกับ เพื่อนๆในวงการธนาคารด้วยกันตั้งแต่ตอนเกิด Sub-prime ใหม่ๆ ตอนนั้นก็สงสัยกันว่า ปัญหาในตอนนั้นคือ คนอเมริกาส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน และก็เกิดปัญหาสภาพคล่องทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็เริ่มเกิดเป็น Wave ของการ Default ในหนี้บ้าน จนลุกลามเป็นที่มาของปัญหา Sub-prime (ซึ่งถ้าสรุปหัวใจของวิกฤตคราวนี้ ก็คือ ระบบการเงินขาดสภาพคล่อง "เงินฝืด" นั่นเอง)

โมเดลธุรกิจแบบกลับหัวกลับหาง

  • คลับใน LA หลายแห่งเก็บเงินจากวงดนตรีที่มาแสดง แทนที่จะจ่ายค่าแรงที่ทำเป็นปกติ การมีเวทีแสดงนั้นสำคัญกว่าการได้ค่าแรงเสียอีก และถ้ามีฝีมือจริงก็มีโอกาสเปิดการแสดงหาเงินได้

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

6 ขั้นตอนสู่อิสรภาพทางการเงิน

1) จัดทำบัญชี และงบการเงิน

การ เดินทางสู่อิสรภาพทางการเงินก็เหมือนกันกับการเดินทางทั่วไปที่ต้องมีแผนที่ นำทาง ดังนั้นก่อนจะเริ่มเดินทาง คุณเองควรจะรู้ก่อนว่า ปัจจุบันคุณอยู่ ณ จุดไหนของคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”

ลองจัดทำงบการเงิน

2) ตั้งเป้าหมาย และวางแผน

เริ่มต้นจากอิสรภาพทางการเงินขั้นพื้นฐาน 6 ประการ คือ
• เศรษฐกิจพอเพียง
• เก็บ 10 เปอร์เซ็นต์ (ของรายรับทั้งหมด)
• สำรองเงินไว้ใช้จ่าย (อย่างน้อย 6 เดือน)
• ประกันชีวิต สุขภาพ และอุบัติเหตุ
• เรียนรู้ตลอดชีวิต
• บริจาคตามกำลัง

ลอง พิจารณาดูว่าชีวิตของท่านบรรลุเป้าหมายพื้นฐานในแต่ละข้อข้างต้นหรือยัง ถ้ายังให้กำหนดหัวข้อเหล่านี้เป็นเป้าหมาย ที่สำคัญต้องกำหนดวิธีการ กรอบเวลา รวมถึงประเมินภาพในอนาคตไว้ด้วย

ส่วนใครที่มีอิสรภาพการเงินขั้นพื้นฐานแล้ว ก็อาจตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปได้ ไม่ว่ากัน

8 นิสัยช่วยให้เป็น เศรษฐีเงินล้าน

"พฤติกรรม" และ "นิสัย" เป็นส่วนผสมที่ทำให้คุณเป็น"เศรษฐี"ได้ แต่ในเวลาเดียวกันพฤติกรรมและนิสัยบางอย่าง ก็บันดาล "ความยากจน" ให้กับคุณได้เหมือนกัน

หาก คุณลองหมั่นสังเกตนิสัยของบรรดาเศรษฐีทั้งที่อยู่รอบตัวเราและที่อยู่ห่าง ตัวหน่อย ก็จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆ กัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมจะค่อนไปในทางละม้ายคล้ายกัน

ในทางตรงกันข้ามพวกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าเศรษฐี ก็มักจะมีนิสัยที่ถอดแบบกันมาเช่นกันทั้ง ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เกินตัว

ไม่ ใช่นิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างของคนเรา ที่จะหนุนนำให้ทุกคนขึ้นบัลลังก์ของเศรษฐีได้ เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอม ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ "8 นิสัยที่จะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน" ลองสำรวจตัวเองดู บางทีคุณอาจจะมีนิสัยเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้

บางคนอาจ จะไม่มีเลย แต่ไม่เป็นไร นิสัยเหล่านี้สร้างและบ่มเพาะกันได้ หรือบางคนอาจจะแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดหน่อย แล้วนำนิสัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไม่ยากเย็น

ลักษณะนิสัยทั้ง 8 ข้อจากนี้ไป เป็นเหมือนกฎขั้นพื้นฐานที่เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ทั่วโลกยึดถือและปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งคนไทยทั่วไปสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ช่วยให้ตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือสองขาของเรานี่เอง

7 วิธีใช้จ่ายให้เงินเหลือออม

7 วิธีใช้จ่ายให้เงินเหลือออม (1-4)
คอลัมน์ Look Around ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 5-26 ธันวาคม พ.ศ. 2545 



7 วิธีใช้จ่ายให้เงินเหลือออม(1)

คอลัมน์ Look Around ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2545

โดย ธนนันท์

องค์ประกอบของรายจ่ายสำหรับคนทั่วไป ได้แก่
(1) รายจ่ายในชีวิตประ จำวันเพื่อการดำรงชีพ อาทิ อาหาร ที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งหากรายได้มีไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายก็จำเป็นต้องกู้ยืมมาใช้จ่าย จึงเกิดหนี้สินที่จะต้องชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย การก่อหนี้ของคนส่วนใหญ่มักเกิดจาก
(2) ซื้อที่อยู่อาศัย
(3) เช่าซื้อรถยนต์
(4) อุปโภคและบริโภค ที่สำคัญคือการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหลังจากหักรายจ่ายข้างต้นแล้ว รายได้ส่วนที่เหลือจึงเป็นเงินที่ออมไว้ใช้จ่ายในอนาคต และเพื่อให้เงินออมนี้มีผลตอบแทนจึงควรใช้จ่ายโดย
(5) ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่จะมีราคาสูงขึ้นในระยะต่อไปแทนการถือเงินสด
(6) ใช้จ่ายลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูงและหรือ
(7) ใช้จ่ายลงทุนในตราสารทุน

ในวิชาเศรษฐศาสตร์การใช้จ่ายเงินสร้างความพึงพอใจให้กับมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อสิ่งที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น แต่ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันบังคับให้เราต้องใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นเท่านั้นจึงจะมีเงินเหลือออม ดังนั้น เพื่อให้บรรลุวัตถุ ประสงค์ทั้งสองประการจึงควรมีการบริหารจัดการรายจ่ายทั้ง 7 วิธีข้างต้นอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักประหยัดและประโยชน์ในการใช้จ่ายประจำวันที่ยังคงสร้างความพึงพอใจเท่าเดิม

ส่วนการก่อหนี้ก็จะต้องเป็นการก่อหนี้ที่ดี โดยนำไปใช้จ่ายให้ได้สิ่งที่ต้องการ และสามารถชำระคืนหนี้ตามภาระผูกพันทั้งในส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยได้

สำหรับการใช้จ่ายลงทุนด้วยเงินออมก็จะต้องบริหารให้ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการเสื่อมค่าของเงินจากภาวะเงินเฟ้อ และให้มีจำนวนมากเพียงพอกับความต้องการใช้ตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง ซึ่งคนทั่วไปมักต้องการใช้จ่ายซื้อที่อยู่อาศัย การศึกษาของบุตร และการใช้จ่ายหลังเกษียณอายุ โดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งก็คือการลงทุนรูปพีระมิด

5 นิสัยทางการเงินที่ควรแก้ไข

5 นิสัยทางการเงินที่ควรแก้ไข

๑.ผลีผลามลงทุน
กระโจนเข้าซื้อหุ้นร้อนทันทีที่เพื่อนหรือโบรกเกอร์เชียร์ เพราะหวังว่าจะทำกำไรระยะสั้น!!!
ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะฟังผู้รู้บอกว่าเป็นช่องทางที่หยิบยื่นกำไรอันงดงามให้!!!!
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เห็นราคาทองวิ่งฉิว เลยขอร่วมแจม เพราะอยากได้กำไรจากการขยับตัวขึ้นของราคาทองคำ!!!
เหล่า นี้รึเปล่า ที่เป็นพฤติกรรมการลงทุนของคุณ แล้วท้ายสุด ต้องมานั่งเก๊กซิมกับผลที่ออกมา เพราะฤทธิ์แต่ผลีผลามเข้าไปลงทุนโดยไม่ศึกษาให้รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้
นิสัย การลงทุนแย่ๆ แบบนี้ ใครๆ ก็เป็นได้ โดยมากเมื่อปล่อยให้ความโลภเข้ามาครอบงำเมื่อไหร่ รับรองได้เลยว่าคุณจะผลีผลามเข้าลงทุนอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
ถ้าปีจอ ทั้งปี คุณยังลงทุนด้วยพฤติกรรมแบบนี้ อย่าปล่อยให้ปีหมูซ้ำรอยปีจอ เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการวางแผนลงทุนอย่างมีสติมากขึ้น เช่น ปีนี้ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าก่อนลงทุนคุณจะไตร่ตรองอย่างละเอียด ศึกษาทุกรายละเอียดอย่างถ่องแท้ ให้รู้ลึกรู้จริง ก่อนจะตัดสินใจควักเงินลงทุน
หรือปีนี้ตั้งใจจะรื้อปรับขยับพอร์ตใหม่ วางมือจากพวกปั่นหุ้นเก็งกำไร หวือหวาผาดโผน ก็ลองศึกษาหาความรู้เจาะลึกหุ้นพื้นฐานให้เยอะเข้าไว้ เพื่อเริ่มต้นปีใหม่ด้วยพอร์ตที่สดใสกว่าเดิม
ไม่เพียงเลิกนิสัยผลีผลาม เข้าลงทุนเท่านั้น แต่ควรจะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการศึกษาหาช่องทางการลงทุนใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์ หรือพวกกองทุนคอมมูนิตี้ ไปจนถึงศึกษาการลงทุนในรูปแบบใหม่ๆ เช่น การลงทุนทางออนไลน์

4 ยอดนักธุรกิจ มือทองระดับโลก

นักธุรกิจระดับโลก 10 คน เป็นที่เลื่องลือจนนิตยสาร Newsweek ยกย่องขึ้นหน้าปก เป็นความเก่งเหนือชั้นและความรู้ที่หาตัวจับได้ เพราะบางคนเกิดมาเพื่อเป็นยอดนักธุรกิจโดยอาจมีพื้นฐานจากครอบครัวทำให้มี โอกาสพัฒนามากขึ้น

วันนี้ขอยอดผู้นำมาแค่ 4 คน โอกาสข้างหน้าอาจจะน้ำเสนอมากกว่านี้ เพราะวิธีการมือโปรระดับโลก ซึ่งมีข้อคิดที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่คิดจะสร้างธุรกิจด้านต่างๆ ให้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วได้ไม่น้อย
 

เจ้าพ่ออินเทอร์เน็ต

นักธุรกิจในบริษัทขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จทั้งๆ ที่บางคนแทบจะไม่มีพื้นความรู้ด้านธุรกิจ ไม่พอยังเรียนหนังสือไม่จบก็มี แต่กลับเก่งกว่าคนที่เรียนสูงๆ หรือมีประสบการณ์แต่เป็นคนเฟื่องด้านอินเทอร์เน็ต เช่น มาซาโตชิ คูมากาชิ ที่เรียนไม่จบมัธยมปลาย ต้องมาบริหารงานของบิดา ตอนนั้นเขาอายุแค่ 17 ปี แต่ต้องปกครองลูกน้อง 30-40 ปี ซึ่งเขาก็ลองผิดลองถูกตามประสาเด็กอ่อนหัดในช่วงแรกๆ แต่ตอนนี้เขาคือ CEO วัย 41 ปี แห่ง GMO อินเทอร์เน็ต ที่มีมูลค่าถึง 15,000 ล้านบาท ถึงจะได้กำไรในปีที่แล้วถึงร้อยละ 33 คิดเป็นเงินถึง 1,100 ล้านบาท คูมากาชิ ใช้กลยุทธ์ว่า อินเทอร์เน็ตสำหรับทุกคน เป็นการบริการให้กับลูกค้าแทบจะทุกด้าน เข้าทำนองเป็น One-Stop Service โดยเขามีตลาดอินเทอร์เน็ตถึงหนึ่งในสามของญี่ปุ่น และเป็นบริษัทอันดับ 11 ของประเทศ

เขาเริ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ตขนาดเล็กเมื่อ 10 กว่าปี แต่คิดได้ว่าแค่บริษัทเล็กๆ คงทำอะไรยาก เมื่อคู่แข่งมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่เล็กไม่น้อย เขาจึงเปลี่ยนเป็นอินเทอร์เน็ตให้บริการส่วนบุคคลและบริษัท พร้อมกับหาพันธมิตร โดยให้แต่ละบริษัทดำเนินกิจการของตนเอง GMO ตอนนี้จึงมีบริษัทในเครือ 22 แห่งโดยเขามีเป้าหมายว่า จะลงทุนที่ช่วยให้บริษัทในเครือสามารถดำเนินกิจการด้านนี้อย่างมียุทธวิธี และขยายเว็บไซต์ให้แก่ผู้ที่เข้ามารับบริการให้ได้มากที่สุด

ในอนาคตเขาจะพัฒนาอินเทอร์เน็ตโดยเน้นธุรกิจและการเงิน ซึ่งมีแววว่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดสูง เขายังมองการณ์ไกลไปกว่านั้นว่า ควรจะลงทุนด้านอื่นๆ ที่มีศักยภาพ โดยเขามีหุ้นในธนาคารหลายแห่งที่ให้กู้ยืมเงินดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะบริษัทเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยไม่มีเงินลงทุนในการดำเนินกิจการ เขาจึงอยากให้บุคคลเหล่านี้ได้มีโอกาสลืมตาอ้าปากบ้างด้วยการให้กู้ยืมไปทำ ธุรกิจด้านนี้ นอกจากนี้ เขาเขียนหนังสือขายดีถึง 126,000 เล่ม ชื่อ With One Notebook Your Dream Will Always Come True ซึ่งเล่าถึงชีวิตการทำธุรกิจของเขาอย่างมีระบบมีแผนการทำงานเมื่อสิบปีก่อน จนถึงปัจจุบัน

เขาบอกว่า การทำอะไรต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะทำอะไรในอนาคต และต้องมุ่งมั่นตั้งใจทำอย่างจริงจัง ความตั้งใจจะทำให้เราประสบความสำเร็จ ขณะเดียวกันต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้กลไกตลาด คุมากาชิยกเรื่องความมุ่งมั่นต้องใจของเขาที่จะลดน้ำหนักที่เกินไป 10 กิโลกรัม เขาตั้งเป้าไว้ว่าต้องลดได้ปีละ 2 กิโลกรัม จนกว่าจะครบตามที่ตั้งใจ และเขาก็ทำได้อย่างที่หวัง จะเห็นได้ว่านักธุรกิจหนุ่มคนนี้มีพลังใจเกิน 100 ส่วนพลังความสามารถเกินอายุ GMO อินเทอร์เน็ตของเขาถึงครองตลาดอินเทอร์เน็ตญี่ปุ่นอย่างก้วางขวางและบริษัท ตั้งอยู่บนชั้น 11 บนตึกโตเกียวสูงเฉียดฟ้า



วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ผู้สร้าง Facebook.com


รวยระดับโลกตั้งแต่หนุ่มโดยไม่โกงใคร  แต่ยังเช่าอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ 
และขี่จักรยานหรือไม่ก็เดินไปทำงานทุกวันในทุกวันนี้

วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผู้โชคดีโหวตชื่อแพนด้า โดนสรรพากรเรียกภาษีเกือบ 3 แสน


น้องปลายฟ้า ผู้ชนะโหวตชื่อแพนด้าหลินปิง เจอสรรพากรเรียกภาษีเพิ่มเกือบ 3 แสน ยายวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยเหลือ

หลัง จากที่ เด็กหญิงปลายฟ้า ศรีหาคม อายุ 4 ขวบ ซึ่งเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลเงินสด 1,000,000 บาทและรถยนต์ 1 คัน จากการโหวตชื่อแพนด้าหลินปิง ต้องถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีอีกถึง 270,000 บาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกหักภาษา ณ ที่จ่ายไปแล้วประมาณ 5 หมื่นบาท
นาง มะลิวัลย์ พิลาศรี ผู้เป็นยาย เปิดเผยว่า ตนได้รับเงินจำนวน 1 ล้านบาท และรถยนต์ซึ่งได้จำหน่ายในราคา 4 แสนบาท และได้นำเงินจำนวน 6 แสนบาท สร้างบ้านใหม่แทนหลังเก่าที่ทรุดโทรมมาก ส่วนอีก 5 แสนบาท ไปฝากใว้ในธนาคารเพื่อเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนของน้องปลายฟ้า และเหลือเงิน 3 แสนกว่าบาท ใช้จ่ายประจำวัน เพราะตนไม่ได้มีรายได้อื่น
แต่ในช่วง หลายเดือนที่ผ่านมา ทางสำนักงานสรรพากร ได้ส่งหนังสือทวงภาษีรายได้บุคคลธรรมดาประจำปี เนื่องจากถือว่า น้องปลายฟ้า เป็นบุคคลมีรายได้ ซึ่งขณะนี้ได้บานปลายไปเป็นเงินจำนวน 270,000 บาท ซึ่งตอนแรกนั้น ตนคิดว่าเมื่อหักภาษี ณ ที่จ่าย ไปแล้วจะจบ แต่พบว่ายอดเงินจะสูงขึ้นในทุกเดือน ทั้งที่รางวัลที่ได้รับก็เป็นเงินรางวัลจากการเสี่ยงโชคที่ได้เพียงครั้ง เดียว
ด้านนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงว่า กรณีของน้องปลายฟ้าที่มีเงินได้จากเงินรางวัล 1,000,000 บาท และรถยนต์อีก 1 คัน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย 2 ส่วน ได้แก่
- ภาษี ณ ที่จ่าย 5 เปอรเซ็นต์ที่คิดจากเงินรางวัลและชิงโชค หรือประมาณ 50,000 บาท
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจากฐานรายได้ตั้งแต่ 1,000,000 ล้านถึง 4,000,000 บาท ต้องเสียภาษีอยู่ในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 270,000 บาท

แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา น้องปลายฟ้าไม่มีการยื่นเสียภาษีทำให้กรมสรรพากรต้องส่งหนังสือเรียกเก็บ
ทั้ง นี้ ขอให้น้องปลายฟ้ารีบติดต่อกลับมา เพื่อจะเร่งชำระภาษีจะได้ไม่มีภาระเบี้ยปรับเงินเพิ่ม ยืนยันว่า ไม่ว่าบุคคลใดที่มีรายได้ก็ต้องมีหน้าที่เสี่ยภาษีตามกฎหมาย และกรมสรรพากรได้ชี้แจงไปแล้วก่อนหน้านี้


เรียบเรียงข่าวโดย Mthai News

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ประหยัดอย่างมหาเศรษฐี

คาร์ลอส สลิม" สามารถใช้เงินนาทีละ 35,000 บาทได้ไปอีกร้อยปี แต่เขากลับคิดแล้วคิดอีกเวลาต้องจ่ายเงิน และก็ไม่ใช่เขาคนเดียวที่คิดและทำแบบนี้

ยังมีมหาเศรษฐีในโลกนี้อีกหลายคนที่ไม่ได้ทำตัวฟู่ฟ่าหรือแสดงฐานะอะไรมากมาย แถมยังเก็บออมเงินอย่างแปลกๆ อีกต่างหาก ซึ่งวิธีใช้ชีวิตของบรรดามหาเศรษฐี อาจให้แง่คิดแก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นเศรษฐีจำนวน  6,864,605,142 คน บ้างก็ได้
เริ่มจากหลักง่ายๆ เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย คือ การสร้างบ้านให้ธรรมดา เพราะแม้มหาเศรษฐีจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างหรูหราในแมนชั่นที่สุดแสนจะพรรณาและมหาเศรษฐีหลายคนก็ทำเช่นนั้น

ขณะที่บิล เกตส์ มีแมนชันขนาด 66,000 ตารางฟุต มูลค่า 147.5 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 4,000 ล้านบาท ในเมืองเมดินา วอชิงตัน แต่มหาเศรษฐีสุด มัธยัสถ์อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ เลือกที่จะอยู่ในบ้านแบบเรียบง่าย โดยเขายังใช้ชีวิตอยู่ในบ้านขนาด 5 ห้องนอนหลังเดิมในเมืองโอมาฮา อันเป็นหลังที่เขาซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2518 ในราคา 31,500 ดอลลาร์ หรือเกือบล้านบาท

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

อ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า "เงินทองกองอยู่ทั่วไป" เล่มเล็ก ๆ สีเหลือง ๆ

แล้วก็ว่าจะนั่งพิมพ์ ให้อ่านกัน คิดไปคิดมาอาจเจอปัญหาเรื่องลิขสิทธ์ เลยลองค้นใน google ก่อนเผื่อจะเจอคนอื่นทำไว้

แล้วก็ไปเจอพี่ที่พันทิพคนหนึ่งพิมพ์ไว้แล้ว เลยก๊อบมาให้เพื่อน ๆ อ่านกันนะครับ

เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว เมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ คับคั่งไปด้วยผู้คนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ยาจก


คนเข็ญใจ  ผู้ใช้แรงงาน นักคิด และพ่อค้าผู้มั่งคั่ง  ในบรรดาพ่อค้าเหล่านั้น มีเรื่องของพ่อค้าผู้หนึ่งที่น่าสนใจมาก

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การประหยัดเงิน เก็บเงิน,ออมเงิน,ปลดหนี้ อย่างเทพๆ

การประหยัดเงิน เก็บเงิน,ออมเงิน,ปลดหนี้ อย่างเทพๆ

-ซื้อมาม่ากินตลอดเดือน ซื้อพวกผักมาทำสลัดผัก

-ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน

-คติประจำใจอดเปรี้ยวไว้กินหวาน

-ซื้อเท่าที่จำเป็น ห้ามซื้อมาเก็บไว้ถ้าไม่จำเป็น ซื้อแล้วต้องใช้ๆๆ

-ปลูกผักสวนครัว ไว้เยอะๆ

-ห้ามเที่ยว ห้ามดื่ม

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 วิธีรับมือ กับปัญหาจากการทำธุรกิจส่วนตัว

10 วิธีรับมือ กับปัญหาจากการทำธุรกิจส่วนตัว

สําหรับคนที่คิดจะทำธุรกิจ หรือปัจจุบันมีธุรกิจเป็นของตัวเองอยู่แล้ว

อาจต้องเผื่อใจไว้เลยว่า คุณต้องรับมือกับสารพัดปัญหาที่เกิดขึ้น บางปัญหาก็ทำให้คุณแทบตั้งตัวไม่ทัน ขณะที่อีกหลายปัญหาจัดว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้คุณรู้สึกเครียด นอนไม่หลับไปหลายวันทีเดียว อย่าเพิ่งเกิดความรู้สึกท้อแท้กับการทำธุรกิจส่วนตัว เพราะมีข้อดีอยู่หลายอย่างเหมือนกัน เช่น ได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง มีความสบายใจในการทำงานมากกว่า หากธุรกิจไปได้สวย การขยายสาขาจะเกิดขึ้นตามมา สิ่งนี้ทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจในชีวิตของคุณ

ส่วนข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจมีตั้งหลายอย่าง นับจากเรื่องข้อผิดพลาดเล็ก น้อยๆ ไปจนถึงข้อผิดพลาดใหญ่ สำหรับข้อผิดพลาดจากการทำงานนั้น อาจเกิดจากขาดข้อมูลที่ถูกต้องจากการลงทุนทำธุรกิจในมุมมองทางธุรกิจ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความผิดหวังได้

หากว่าคุณต้องการจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจครั้งที่ผ่านมา ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม หลากหลายคำถามที่อยู่ในใจของผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวนั้นมักครอบคลุมในเรื่อง ที่ว่า จะทำอย่างไรดีกับเม็ดเงินใน การลงทุนทำธุรกิจของคุณ เช่นเดียวกัน หากในกลุ่มที่ทำธุรกิจของคุณมีเพื่อนสนิทร่วมลงทุนด้วย คุณยิ่งเกิดความรู้สึกกังวลเพิ่มขึ้นว่าเพื่อนจะตำหนิคุณหรือไม่ เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจากการลงทุนทำธุรกิจ และต่อไปนี้เป็นวิธีการรับมือกับปัญหาอันเกิดจากการทำธุรกิจส่วนตัวของคุณ

1.วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการทำความเข้าใจธุรกิจของคุณให้กระจ่าง

มองว่าการแก้ปัญหาเป็นเหมือนสิ่งน่าท้าทายใหม่ๆ ทำให้ คุณได้เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่น หากคุณ คิดจะเปิดธุรกิจร้านกาแฟ หรือเปิดธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ธุรกิจสปา ให้คุณพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบของธุรกิจนั้น โดยดูจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ซึ่งประกอบกันไป เช่น การลงทุนในระยะยาว ปัจจัยเรื่องของสภาพตลาดใน ขณะนั้นว่าจะเอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจมากน้อยแค่ไหนกัน

2.ข้อมูลการทำธุรกิจต้องมีความสมบูรณ์

ข้อมูลเป็น “ตัวช่วย” ในการทำธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะ ข้อมูลวิจัยเกี่ยวกับตัวเลขของผู้บริโภค ยอดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมไปถึงดัชนีชี้วัดการเติบโตทางด้านธุรกิจ ข้อมูลเหล่านี้มีส่วนต่อการตัดสินใจทำธุรกิจ รวมไปถึงการ คาดการณ์เกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาภายหลังการ ลงทุนทำธุรกิจนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคุณคิดจะเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่า คุณก็ต้องหาข้อมูลให้รอบด้าน ศึกษาดูว่าในขณะนี้มีร้านขายเฟอร์นิเจอร์เก่าเกิดขึ้นในเมืองไทยมากน้อยขนาดไหน กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมกับศึกษาดู ด้วยว่ากลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นใคร

ถ้าเป็นไปได้ก็ให้ศึกษาดูภาพรวมของการทำธุรกิจนี้ใน ต่างประเทศด้วย พูดได้ว่าไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม หากมีข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการทำธุรกิจประเภทที่คุณสนใจอย่างละเอียด จะช่วยทำให้คุณอุ่นใจราวกับว่าการทำธุรกิจของคุณใกล้เป็นจริงแล้วในอนาคตอัน ใกล้นี้

3.เป็นนักฟังที่ดี

ประเด็นนี้หมายความว่า คุณจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมทุนของคุณด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากเปิดกิจการร้านขายเสื้อผ้า และมีกลุ่มเพื่อนมาร่วมหุ้นด้วย เมื่อทำไปสักพักหนึ่งก็ปรากฏว่าเสื้อผ้ารูปแบบเดิมที่คุณจำหน่ายอยู่นั้น ประสบกับปัญหาจำหน่ายยาก ทำให้รายได้จากการจำหน่ายเสื้อผ้าก็น้อยลง ด้วยเหตุนี้เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งจึงเสนอแนวคิดว่าให้ลองเปลี่ยน รูปแบบของสินค้าเสีย ใหม่ โดยนำเสนอเสื้อผ้าที่มีเทรนด์ล้ำสมัย และมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายวัยมากยิ่งขึ้น น่าจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้ลูกค้าเข้าร้านเป็นจำนวนเพิ่มขึ้น คุณในฐานะหนึ่งใน หุ้นส่วนทางธุรกิจควรจะรับฟังเรื่องนี้จากเพื่อนด้วย จากนั้นก็ระดมความคิดกันในกลุ่มเพื่อนๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลาย เพื่อดำเนินการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการเปลี่ยน แปลงเรื่อง “ตัวสินค้า” โดยทั่วไป

4.ยังคงมีมุมมองในเชิงบวก

ปรับแนวคิดเสียใหม่ อย่ามัวแต่ตอกย้ำกับแนวคิดที่ว่า ช่วงนี้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะขาลง ทำให้ร้านอาหารที่ คุณดำเนินกิจการอยู่มีลูกค้าเข้าร้านเป็นจำนวนน้อย อย่าเพิ่งคิดแบบนี้ แต่ให้คุณใช้มุมมองที่ว่า “ปรับวิกฤตให้เป็นโอกาส” โดยเฉพาะเมื่อคุณตัดสินใจมาทำธุรกิจร้านอาหารแล้วก็ต้องเปิด ความคิดของตัวเอง ปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อให้ธุรกิจร้านอาหารของคุณอยู่รอดได้ ยกตัวอย่างเช่น คุณรับรู้ว่าร้านอาหารของคุณตั้งอยู่บริเวณสถานที่ไหน กลุ่มลูกค้าที่มาเข้าร้านเป็นอย่างไรบ้าง อีกวิธีหนึ่งที่น่าจะช่วยได้มากก็คือ การปรับเปลี่ยนเมนูในร้านอาหารเสียใหม่ เช่น แต่เดิมมีแต่เมนูอาหารไทย ก็อาจจะปรับเมนูอาหารฝรั่งขึ้นมา เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าที่มาใช้บริการภายในร้านของคุณ แม้ว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง แต่ถ้าหากคุณมีมุมมองในแง่บวก พยายามหาช่องทางปรับเปลี่ยนแง่มุมใหม่ คุณจะค้นพบแนวทางที่ถูกต้องในวิธีการบริหารธุรกิจของคุณ

5.บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้น

ข้อดีของการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทำให้คุณรับรู้ความเคลื่อนไหวในการทำธุรกิจแต่ละวัน สำหรับการทำธุรกิจ ร้านอาหารนั้น ให้คุณทำการ “บันทึก” ความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เช่น การบันทึกว่าในแต่ละวันเมนูประเภทใดที่ลูกค้านิยมสั่งกันเป็นจำนวนมากที่สุด ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ของร้านต่อไป


13 วิธีเปิดมุมมองใหม่ ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ

13 วิธีเปิดมุมมองใหม่ ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ

การมีธุรกิจเป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่หลายคนมักใฝ่ฝันให้เกิดขึ้นจริงในชีวิต แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดที่ว่า “เป็นเจ้านายของตัวคุณเอง” เป็นไปได้ว่าพอทำธุรกิจไปพักหนึ่ง คุณบ่นว่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับงาน ที่ทำเพราะแต่ละวันต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง มากมาย เช่นผู้จัดการคนใหม่ของบริษัททำให้คุณปวดศีรษะเล็กน้อย หรือพนักงานลางานบ่อย...
แต่อย่างว่ารู้ทั้ง รู้ว่าการเริ่มต้นทำธุรกิจมักหนีไม่พ้นปัญหาในแต่ละวันแต่เราก็อยากให้มี ชื่อปรากฏในแวดวงการทำธุรกิจอย่างการทำธุรกิจผลิตเสื้อยืดใช้ชื่อของเราและเพื่อน ตั้งเป็นชื่อแบรนด์ของตัวเองมีการมองถึงผลที่ได้จากการทำธุรกิจว่า ได้ผลตอบแทนที่ดีแถมเรายังมีชื่อเสียงอีกต่างหาก เผลอๆ อาจจะดังโดยไม่รู้ตัวก็ได้

เมื่อคิดว่าพร้อมที่ จะทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงก็ไม่ควรจะรอช้า ถึงเวลาที่เราต้องลงมือทำจริงเสียทีคุณต้องทุ่มและศึกษามากหน่อย หากคิดจะทำธุรกิจให้ประสบ ความสำเร็จอย่ามองด้านบวกอย่างเดียว พยายามมองอะไรให้รอบด้านต่อไปนี้เป็นวิธีการปรับมุมมองที่คุณสามารถนำไปใช้ ได้จริง

1.ศึกษาความรู้ในภาคอุตสาหกรรมนั้นให้เพียงพอเสียก่อน
กรณีที่จะทำธุรกิจร้านอาหารก็ต้องคำนึงถึงเรื่องการสั่งซื้อเครื่องปรุงอาหารมาที่ร้านด้วยลงมือวิจัยหาข้อมูลเรื่องการตลาดและ รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายการทำธุรกิจของเราเป็นใคร เรียนรู้เรื่องการแข่งขันพยายามให้แน่ใจว่าความคิดของเรา ไม่เป็นรองใครอย่าลืมมองในแง่ความยั่งยืนของการทำธุรกิจในอนาคตประกอบกัน ด้วย

2.ให้ความสำคัญกับความซับซ้อนของเอกสารการทำธุรกิจ
ไม่เห็นยากเลยคุยกับ ทนายความก่อนที่คุณจะตีพิมพ์ เอกสารทางธุรกิจหรือเตรียมเผยแพร่ในเว็บไซต์ ทำเอกสารทางกฎหมายให้ครบสมบูรณ์ต้องแน่ใจชื่อบริษัทที่ตั้งขึ้นเป็นชื่อที่ เราถูกใจและปรากฏอยู่ในเอกสารทางกฎหมายแล้ว

3.รับมือกับความเสี่ยงต่างๆ
ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนพยายามลดความเสี่ยงพยายามดึงดูดใจให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นกับบริษัทของเรา เพื่อปูทางความน่าเชื่อถือกับบริษัทของเราในอนาคต

4.เตรียมรับมือกับอุปสรรค
การทำธุรกิจส่วนตัวย่อมต้องพบกับอุปสรรคหลายอย่าง เช่น เงินหมุนเวียนในองค์กรหรือในกรณีที่กู้เงินจากธนาคารมาทำธุรกิจก็ต้องรู้ว่าการผ่อนชำระเป็นอย่างไรรายได้แต่ละเดือนจะเพียงพอหรือเปล่า

5.ไม่ต้องรีบร้อน
อย่าพยายามให้บริษัท เติบโตเร็วเกินไปเติบโตช้าๆ แต่เป็นไปอย่างมั่นใจดีกว่าเมื่อทำไปได้สักพักหนึ่งกิจการเริ่ม ดีขึ้นก็เลยเกิดความคิดว่าจะสร้างออฟฟิศแห่งใหม่ดีหรือไม่ในจุดนี้เราก็ต้อง คำนึงถึงงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายว่าพอไหว หรือเปล่าหรือต้องกู้เงินมาขยายกิจการ